Posts Tagged ‘ รูปภาพ ’

ปีใหม่ กินขาหมูเสร็จแล้ว พาไปเที่ยวโบสถ์ดีกว่าค่ะ

มาเขียนช้าไปนิดนึงนะคะ แต่ก็ยังไม่ช้าจนเกินไป เพื่อนๆผู้อ่านคงจะได้เค้าท์ดาวน์กันอย่างสนุกสนาน และฉลองปีใหม่กันอย่างครึกครื้น วันปีใหม่สากลนี้ไม่ว่าประเทศไหนๆก็มีการฉลองกันอย่างตื่นตาตื่นใจ ผู้เขียนได้ดูคลิปการโชว์พลุอันอลังการของดูไบ มันก็เป็นที่ตะลึงจริงๆค่ะ แต่ด้วยความที่ผู้เขียนไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเผาเงินจำนวนมาก ก็เลยเฉยๆกะเรือ่งแบบนี้ คิดว่าจุดโชว์สวยงามเป็นพิธีก็น่าจะพอล่ะค่ะ ในเขตที่ผู้เขียนอาศัยอยู่นั้นได้มีการรณรงค์ประหยัดเงินในการเปิดไฟประดับตามท้องถนนและร้านค้าต่างๆมาเป็นเวลา 2-3ปีมาแล้วเห็นจะได้ ใครผ่านมาแถวๆนี้คงจะแอบคิดว่า เขตนี้ช่างเงียบเหงาเสียจริง ที่ทางเขตได้ตัดสินใจเลิกเปิดไฟประดับซึ่งปรกติทั่วไปจะเปิดทั้งเดือน ธ.ค. ไปจนต้นเดือนม.ค.นั้น มีจุดประสงค์ที่ดีเยี่ยมค่ะ ทางเขตเลือกที่จะใช้เงินจำนวนนั้นบริจาคให้แก่โรงพยาบาล ช่วยเหลือซื้ออุปกรณ์ ผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ เพราะอย่างไรก็ดีตามบ้านเรือนเกือบจะทุกหลังก็มีการประดับไฟหน้าบ้านอยู่บ้างแล้ว แค่นี้ก็ได้บรรยากาศคริสต์มาสไม่น้อยแล้วค่ะ

ที่ประเทศอิตาลีนี้มีความเชื่อว่า วันปีใหม่ควรนุ่งกุงเกงชั้นในสีแดงเป็นการนำโชค ^^ คู่รัก หรือสามีภรรยาก็มักจะล้อเล่นโดยการให้ของขวัญเป็นกางเกงลิงสีแดง มีลายการ์ตูนตลกๆบ้าง มีประโยคขำๆบ้าง หรือจะออกแนวเซ็กซี่วาบหวามบ้างก็แล้วแต่ค่ะ แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือ วันปีใหม่จะฉลองกันด้วยเมนูนำโชค ซึ่งก็คือ ขาหมู (ภาษาอิตาเลียนเรียกว่า zampone) เสริฟคู่กับถั่ว lentils (lenticchie) ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าถั่วชนิดนี้ภาษาไทยมีชื่อเรียกว่าอย่างไร เป็นถั่วเม็ดแบนๆเล็กๆค่ะ ผู้เขียนลืมถ่ายรูปเอาไว้ ก็เลยไปขอยืมรูปที่หาได้มาประกอบข้างล่างนี้นะคะ โดยมีความหมายว่าขาหมูนำโชค และถั่วเลนทิวส์นำเงินทอง โดยถั่ว 1 เม็ดเท่ากับเงิน 1 สตางค์ แต่ผู้เขียนขอเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อธิษฐานเป็นว่า ถั่ว 1 เม็ดเท่ากับเงิน 1 ยูโรละกันค่ะ นึกว่าหยวนๆ ไม่งั้นคงต้องกินกันจนตาเหลือกแน่ๆเชียว

รูปขาหมูกะถั่ว lentils เมนูฮิตสำหรับปีใหม่ค่ะ

พอดีว่าวันปีใหม่ที่ผ่านมาเป็นวันที่อากาศดีมากค่ะ แดดออกแรงเลยทีเดียว ผู้เขียนก็คุยกะสามีว่า เราจะออกไปเดินเล่นที่ไหนกันดี แต่ไม่มีอ๊อพชั่นช้อปปิ้งเป็นตัวเลือกนะคะ เพราะว่าวันที่1 ม.ค.นั้น ทุกร้านค้าปิดหมดค่ะ แล้วเราก็มาสรุปกันที่ เราไปลองประเดิมขึ้นสะพานที่เพิ่งสร้างและเปิดใช้ไปเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.นี้กันดีกว่า สะพานนี้จะพาเข้าเมืองโดยไม่ตอ้งผ่านถนนที่จราจรหนาแน่นค่ะ แล้วเมื่อไปถึงในเมืองเราจะทำอะไรกันดี สามีผู้เขียนก็เกิดนึกอยากพาลูกชายทัวร์บ้านเก่า หลังแรกของเขาเลย ใช้ชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นที่นั่นค่ะ แล้วก็พาดูโรงเรียนประถมของปะป๊า โรงเรียนมัธยม แล้วก็โบสถ์ที่ปะป๊าเคยไปเรียนศาสนาทุกวันอาทิตย์ และทำพิธีสำคัญๆในวัยนั้นๆ โบสถ์ของชุมชนเก่าของสามีผู้เขียนเป็นโบสถ์ที่ใหญ่และสวยมากค่ะ โบสถ์ของชุมชนที่อยู่ปัจจุบันนี้เทียบกันไม่ติดเลยค่ะ ช่วงนี้ก็มีการจัด crib (Christ’s Nativity) ในภาษาอิตาเลียนเรียกว่า Presepio ซึ่งเป็นฉากจำลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ (ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ทราบอีกว่าภาษาไทยมีคำเรียกเฉพาะไหม) โบสถ์นี้จัดได้สวยมากค่ะ ตัวหุ่นเคลื่อนไหวได้ด้วยค่ะ เดี๋ยวจะใส่รูปให้ดูนะคะ จะมีพระแม่มารีอยู่ทางริมขวามือของรูป และพระเยซูที่เพิ่งประสูติอยู่ในตะกร้าเล็กๆที่ไกวไปมาค่ะ แล้วจะเห็น Re Magi คือ The Three Kings หรือ The Three Wise Men ที่เดินทางนำของขวัญอันมีค่ามามอบให้ค่ะ หลายๆโบสถ์จะมีการประกวดการจัด crib นี้ด้วยค่ะ คนทั่วไปสามารถสมัครและสร้างฉากขึ้นมา ปีก่อนๆผู้เขียนได้พาลูกชายไปดูเป็นประจำ แต่ละคนทำได้สวยและมีจินตนาการดีมากค่ะ โบสถ์ของชุมชนของผู้เขียนก็มีการจัดแสดงการจัด crib แต่ว่าไม่ได้เป็นการประกวดมีรางวัลอะไรนะคะ คนที่รักการประดิษฐ์ประดอยก็จะเข้าร่วม ปีที่แล้วเด็กๆในชั้นเรียนของลูกชายผู้เขียนก็เข้าร่วมโดยมีครูประจำชั้นเป็นผู้ช่วยค่ะ มีผู้เข้าร่วมผู้หนึ่งจัดทำโดยใช้เลโก้ชิ้นเล็กๆประดิษฐ์ออกมาได้น่าทึ่งอย่างมาก แต่ที่น่ารักน่าแปลกตามากๆก็คือ ฉากของร้านพิซซ่าในชุมชนนี้ล่ะค่ะ ประดิษฐ์โดยเบสพิซซ่า และปั้นทุกตัวประกอบด้วยแป้งพิซซ่า

เอาล่ะค่ะ ก่อนที่จะยืดยาวเกินไป ผู้เขียนแปะรูปโบสถ์ที่กล่าวไว้ข้างต้นให้ดูกันนะคะ โบสถ์มีชื่อว่า Corpus Domini เป็นโบสถ์ที่สง่างามแห่งหนึ่งของเมือง Piacenza ค่ะ เมืองนี้ถึงจะเป็นเมืองเล็กไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นอะไร แต่หารู้ไม่ว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศอิตาลีค่ะ (คิดว่าคนทั่วไปคงจะไม่รู้ คิดกันว่าโรมคือต้นกำเนิดของอิตาลี เป็นความเชื่อที่ผิดนะคะ) ที่เมืองนี้จึงมีสถานที่โบราณมากมาย เช่นปราสาทราชวัง และเป็นเมืองที่มีโบสถ์เยอะมากๆค่ะ แทบจะมีทุกถนนทุกมุมเมือง ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์เล็กใหญ่ เพื่อนๆและญาติพี่น้องของผู้เขียนเองที่เคยมาเยี่ยมผู้เขียน ต่างก็บอกด้วยความทึ่งว่า ไม่คิดมาก่อนว่าเมืองเล็กๆแบบนี้จะมีโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างได้อย่างอลังการมากขนาดนี้

บ้านของฉัน..ธรรมชาติ..และความเงียบสงบ

ผู้เขียนกลับมาพร้อมกับรูปภาพที่เคยได้ถ่ายไว้นานแล้วบ้าง ไม่นานบ้าง ด้วยความที่อยากจะแนะนำ “my living place” หรือแถวบ้านของผู้เขียนในชนบทน้อยๆ ของจังหวัดเล็กๆในประเทศอิตาลีตอนเหนือแห่งหนึ่ง รูปภาพอาจจะไม่ดูอลังการ ไม่มีอะไรหวือหวา แต่คงซึ่งธรรมชาติ และความเงียบสงบ ดั่งหัวข้อที่ผู้เขียนขึ้นไว้สำหรับโพสต์นี้ แล้วผู้เขียนจะแนะนำสถานที่อื่นๆต่อๆไปในภายหน้านะคะ ตอนนี้มารู้จักชุมชนเล็กๆของผู้เขียนกันก่อนนะคะ

ภาพแรก เป็นภาพของต้น willow tree ภาษาอิตาเลียนเรียกว่า “salice” (ผู้เขียนไม่ทราบชื่อต้นไม้เป็นภาษาไทย) ซึ่งมีอายุมากแล้ว ภาพนี้ถ่ายจากใกล้ๆสุสานของคุณปู่คุณย่าของสามีผู้เขียนค่ะ

ภาพที่ 2 เป็นภาพของสถานบูชา อยู่ติดถนนใหญ่ที่ขับรถผ่านบ่อยๆ ไม่ทราบเหมอืนกันว่าจะเรียกว่าอะไรดี ไม่ได้เป็นโบสถ์ซะทีเดียว ตามถนนหนทางจะมีสถานบูชาแบบนี้ จะมีเล็กๆคล้ายๆศาลพระภูมิของไทยเราบ้าง หรือใหญ่โตแบบในรูปนี้ โดยปรกติจะถวายแด่พระเยซูหรือพระแม่มารี เวลาผ่านหน้าสถานบูชาแห่งนี้ ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าดูขลังและศักดิ์สิทธิ์ดีค่ะ

รูปที่ 3 นี้เป็นรูปถ่ายที่สามีผู้เขียนลงรถถ่ายขณะออกไปข้างนอก ตอนนั้นเป็นหน้าหนาวและหิมะตกเยอะมาก สามีผู้เขียนนึกอยากถ่ายรูปรถส่วนตัวท่ามกลางหิมะ ผู้เขียนเห็นแล้วชอบดีค่ะ บรรยากาศดูเงียบสงบสวยงาม เป็นถนนเล็กๆที่ผ่านเขตกสิกรรมแถวๆบ้านผู้เขียนเองค่ะ หิมะขาวโพลนนี่ทำให้รถดูมีเสน่ห์ขึ้นมาเหมือนกันนะคะ

รูปต่อมานี้ เป็นหน้าบ้านของผู้เขียนเองค่ะ ถ่ายไว้เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นหิมะกำลังตกหนักเลยทีเดียว ผู้เขียนตื่นเช้า  กำลังจะส่งลูกไปโรงเรียน ก็เลยหยิบกล้องขึ้นมาแชะไว้เสียหน่อย ดูสวยแบบยะเยือกดีไหมคะ

ส่วนรูปสุดท้ายนี้ เป็นรูปของผู้เขียนและเจ้านานะ แมวเหมียวที่พวกเราเลี้ยงไว้ตั้งแต่ปี 2007 ถ่ายที่ระเบียงหน้าบ้านเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วได้ค่ะ

ตอนนี้ได้เห็นบรรยากาศของหมู่บ้านเล็กๆ เมืองนอ้ยๆ ที่อยู่ของผู้เขียนแล้วนะคะ ต่างกับกรุงเทพฯ เมืองเกิดของผู้เขียนอย่างสุดขั้ว แต่ผู้เขียนก็รักทั้ง 2 แห่งค่ะ แต่ละแห่งก็มีเสน่ห์ต่างกันไป (พูดแล้วคิดถึงบ้านจัง)