Posts Tagged ‘ วัยรุ่น ’

สังคมศึกษาบนรถเมล์ ตอนที่1

วันนี้ผู้เขียนอยากจะเล่าถึงปฏิกิริยา นิสัย ความประพฤติของชาวอิตาเลียนและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมือง Piacenza ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่นี้ค่ะ ผู้เขียนรู้สึกว่าการใช้บริการรถประจำทางนั้น ทำให้เราศึกษาผู้คนได้เยอะทีเดียวค่ะ บ้านของผู้เขียนอยู่นอกเมือง ถ้าขับรถเข้าตัวเมืองก็ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที แล้วแต่ความหนาแน่นของจราจร แต่ถ้าผู้เขียนจะไปทำธุระในใจกลางเมือง ผู้เขียนจะเลือกใช้รถเมล์มากกว่าค่ะ เพราะในตัวเมืองนั้นมีที่จอดรถน้อย ที่จอดรถใหญ่ๆก็มักจะอยู่ไกลสถานที่ๆต้องไป ทำให้ต้องเดินเยอะมาก และหยอดเหรียญค่าจอดรถแพงเหมอืนกัน สู้ขึ้นรถเมล์ไม่ได้ ไม่ต้องกังวลเรือ่งหมดเวลาที่จอดรถด้วยค่ะ (เวลาจอดรถ จะตอ้งหยอดเหรียญในตู้อัตโนมัติ แล้วนำสลิปที่ได้ออกมาวางไว้ด้านในของรถ ในที่ๆสามารถเห็นได้ชัด ตอนนี้ 25 เซ็นต์จอดได้ 30 นาที ก็ต้องกะเวลาว่าจะต้องจอดนานเท่าไหร่) อีกอย่าง ผู้เขียนไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง ใช้รถสามีบ้างในเวลาที่สามีไม่ต้องใช้รถ รถพ่อสามีบ้าง คุณพ่อสามีนี้น่ารักที่สุดเลยค่ะ เพราะไม่หวงรถ ให้ผู้เขียนขับได้ตามสบายเมื่อต้องการ แต่ผู้เขียนก็ไม่อยากรบกวนมาก จึงเลือกที่จะขึ้นรถเมล์เมื่อเข้าตัวเมืองเพราะมีความสะดวกมาก จะขอยืมรถใช้ก็ต่อเมื่อไปในสถานที่ๆไม่สะดวกจะขึ้นรถเมล์

มาเข้าเรื่องในหัวข้อดีกว่าค่ะ ผู้ใช้บริการรถเมล์นั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กวัยรุ่น ในช่วงวัยกำลังเรียนและยังไม่สามารถขับรถได้ ผุ้อาวุโส และชาวต่างชาติตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ทั้งชายหญิง กลุ่มหลังนี้จะเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ในการมีรถยนต์ส่วนตัว เช่นผู้ใช้แรงงาน และแม่บ้าน (อย่างผู้เขียนเป็นต้น) ผู้อ่านอาจจะนึกในใจว่า เอ๊ะ ผู้เขียนต้องการสื่ออะไรกะการเล่าเรือ่งคนบนรถเมล์ จริงๆแล้วผู้เขียนเคยเกิดความข้องใจ ไม่คอ่ยชอบใจ อะไรหลายอย่างกะเหตุการณ์บนรถเมล์ ทั้งผู้ใช้บริการและคนขับรถเมล์ ผู้เขียนคิดว่าบนรถเมล์เนี่ยแหละเราสามารถเห็นนิสัยใจคอ วัฒนธรรม สะท้อนสังคมได้ดีทีเดียวค่ะ

ก่อนอื่นเลยผู้เขียนขอพูดถึงกลุ่มเด็กวัยรุ่นชาวอิตาเลียนทั่วไป รวมไปถึงลูกหลานของชาวต่างชาติที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่จนเรียกได้ว่าเป็นเด็กอิตาเลียนก็ว่าได้ค่ะ ผู้เขียนมีความเห็นส่วนตัวว่า วัยรุ่นที่นี่ช่างไม่รู้จักเคารพคนอื่นเสียเลย และไม่ค่อยแสดงน้ำใจ เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่มักจะวางกระเป๋าเป้ของพวกเขาบนที่นั่งข้างๆ และเสียบหูฟังๆเพลง ไม่สนใจคนรอบข้าง ถึงผู้โดยสารเยอะและไม่มีที่นั่งพวกเขาก็จะมองออกไปนอกหน้าต่าง โยกหัวตามจังหวะเพลง ถ้าคนที่ไม่มีที่นั่งขี้เกียจจะไปทู่ซี้กะเด็กเหล่านี้ก็จะช่างมันไป อาจจะคิดว่าเดี๋ยวก็ลงแล้ว แต่บางคนก็จะเข้าไปใกล้ๆถามว่าที่นั่งนี่ว่างมั้ย พร้อมกะส่งสายตาให้เข้าใจว่า คุณกำลังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ เด็กวัยรุ่นผู้นั้นก็จะลากกระเป๋าลงพื้นแต่ก็มักจะไม่พูดตอบไม่ขอโทษอะไรแต่อย่างใด ผู้เขียนสังเกตว่าเด็กที่ทำนิสัยลักษณะนี้มักจะเป็นเด็กผู้ชาย ส่วนเด็กผู้หญิงส่วนมากถ้าเห็นคนยืนใกล้ๆก็มักจะรู้ตัวเองและยกกระเป๋าออกจากที่นั่งซะ สิ่งที่ผู้เขียนไม่สบอารมณ์อย่างมากคือ เมื่อมีผู้หญิงตัังครรภ์ หรืออุ้มลูกเล็กๆ เด็กวัยรุ่นพวกนี้มักจะมองออกไปทางอื่นทำเป็นไม่สนใจ ถ้าตัวผู้เขียนเองมีที่นั่งก็มักจะเรียกหญิงตั้งครรภ์หรือมีเด็กเล็กให้มานั่งแทนผู้เขียน บางทีก็มีคุณป้าคนอื่นลุกให้นั่งแทน เอ…เด็กสมัยนี้เขาเป็นอย่างไร ตนเองสบายไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง จะไปโทษใครได้เล่า ก็คงตอ้งโทษผู้ที่สั่งสอนอบรมและสังคมรอบข้าง ที่มักจะสอนให้รู้เอาตัวรอดเป็นยอดดี แต่ก็ลืมสอนเรือ่งของคุณธรรม และสมบัติผู้ดีเข้าไปด้วย ถึงสังคมไทยตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปเยอะก็ตามแต่ผู้เขียนเชื่อค่ะว่าเด็กไทยยังมีความอ่อนน้อมและมีน้ำใจมากกว่าเด็กที่นี่

อีกพฤติกรรมหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นประจำก็คือ ในช่วงท้ายของรถเมล์จะมีที่นั่งอยู่ 2 แถวที่หันหน้าเข้าหากัน เด็กวัยุร่นก็มักจะจองที่นั่งตรงนั้น เพราะว่าพวกเขาสามารถยืดขา เอาเท้าไปวางบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่หันหน้าเข้าหากันได้ เบาะของอีกฝั่งก็จะเปรอะ เลอะเทอะรอยรองเท้า ผู้เขียนคิดตำหนิทุกทีแต่ก็ไม่เคยออกเสียงอะไรเนื่องจากว่าตัวผู้เขียนเองไม่ค่อยอยากมีเรื่องกับใคร ในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นพ่อเป็นแม่เขา เมื่อวานซืนผู้เขียนได้ขึ้นรถเมล์เข้าใจกลางเมือง เห็นเด็กวัยรุ่นชาย 2 คนทำพฤติกรรมนี้ ซึ่งเป็นเรือ่งปรกติของพวกเขา มีผู้โดยสารหญิงอายุน่าจะพอๆกะผู้เขียนมองหาที่นั่ง แล้วก็ไปหยุดอยู่ที่ๆเด็กชายประทับรองเท้าไว้บนเบาะนั่งตรงข้ามกะที่นั่งของตนเอง ผู้โดยสารหญิงคนนั้นตำหนิเด็กชายวัยรุ่น ว่าที่ตรงนี้เป็นที่นั่งไม่ใช่ที่พาดเท้า เด็กคนนั้นก็หดขาลงมองหน้าหญิงสาวซึ่งหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าออกมาเช็ดที่นั่งนั้น เพื่อนของเด็กหนุ่มรายนั้นที่นั่งอยู่ด้วยกันก็ออกเสียงว่า “โอ๊ย ไม่สกปรกหรอก นั่งไปเหอะน่า” หญิงสาวทำเป็นไม่สนใจเมื่อเช็ดเสร็จเธอก็นั่งลง มีเด็กวัยรุ่นอีกคนที่นั่งห่างออกไปส่งเสียงถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้เด็กหนุ่มคนเดิมก็พูดเสียงดัง หัวร่อต่อกระซิกกะเพือ่นโดยใช้คำหยาบคายทำนองว่า จะมาทำสั่งสอนอะไร เราไม่สนใจซักอย่าง ช่างแ**มันเถอะ ผู้เขียนได้เห็นได้ฟังเด็กพวกนี้แล้วรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก สังคมช่างเสื่อมถอยเสียจริง ผู้เขียนเองก็มีลูกชาย 1 คน ก็มีความกังวลใจไม่ใช่น้อยกับสังคมเด็กวัยรุ่นที่เห็นอยู่ตลอดเวลา ลูกชายของผู้เขียนเป็นเด็กเรียบร้อย การที่จะอยู่ในสังคมที่ผู้อ่อนแอจะถูกเอาเปรียบหรือทำร้ายนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้เขียนสนับสนุนให้เขาเล่นกังฟูมาเป็นปีที่ 3แล้วก็เพราะเหตุนี้ด้วยค่ะ รู้ศิลปะป้องกันตัวไว้ก็คงไม่เสียหลาย

ผู้เขียนจะมาเล่าตอนต่อไปเร็วๆนี้นะคะ เรื่องนี้ถ้าคุยกันจริงๆก็ยาวเหมือนกันค่ะ